วันอังคาร, กรกฎาคม 11, 2560

"ผิวของฉันไม่ได้มีอะไรเสียหาย” ปัญหามันอยู่ที่ ‘ผู้คน’ ของประเทศนี้ต่างหาก

This story is better read in English with a sense of universalism to encompass the feeling expressed by the author. But it hits right in the bull-eye of an ugly Thai-ness that I try to extract some essence into Thai language, as a way to hold up the writer hands until her feeling subsides.

(RP)


“ทุกวันฉันพร่ำสวดวิงวอน ไม่ให้มีใครมาทำให้ฉันรู้สึกไร้ค่า ฉันภาวนาให้ตัวเองสามารถตอบรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าได้อย่างเหมาะสม คุณเห็นจากรูปแล้วว่าสีผิวของฉันน้ำตาล

ฉันรักสีผิวนี้ แต่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เค้าไม่ชื่นชอบกันหรอก ใช่ค่ะ คนไทยจำนวนมากผิวสีน้ำตาลเหมือนกัน หากไม่เช่นนั้นก็เข้มกว่า แต่ว่านั่นมันกลับไม่ได้สลักสำคัญ เพราะการรังเกียจสีเข้มมีจริง”

หญิงสาวผิวดำคล้ำวัยอีกไม่นานจะถึง ๓๐ เมื่อเธอได้รับปริญญาเอกทางการศึกษา เธอเลือกที่จะหาประสบการณ์เป็นครูในเอเซียต่อจากเกาหลีแล้วมาสู่ประเทศไทย หลังจากที่ได้เริ่มฝึกสอนและทำงานครูในโรงเรียนรัฐบาลของรัฐเวอร์จิเนียเมื่อจบปริญญาโทใหม่ๆ และอีก ๓ ปีในเขตการศึกษาวอชิงตัน ดีซี 

ใช่แล้ว เธอเป็นคนอเมริกัน (ซึ่งบางครั้งบางส่วนอาจเรียกว่า อาฟริกัน-อเมริกัน) แต่เธอไม่ได้ไปจาก อาฟริกาอย่างที่คนไทยซึ่งแวดล้อมการงานอาชีพของเธอในประเทศไทย พยายามที่จะกำหนดประเภทของการเป็นมนุษย์ให้กับเธอ

เธอเล่าเรื่องที่ถูกล้อเลียนสีผิวจากเพื่อนครูไทยที่ผ่านพบจากการสอนในโรงเรียนสี่ห้าแห่ง อย่างอึดอัดจนไปลงเอยที่หมดความอดกลั้นปล่อยโฮออกมา

“ฉันร้องไห้กับสิ่งที่ได้เจอะเจอมาตลอดกระทั่งบัดนี้” เธอผู้มีนามว่าคริสตินเขียนเล่า “ทุกครั้งที่ฉันเดินเข้าไปในห้องเรียนวันแรกของแต่ละแห่ง ฉันถูกจ้องและมองเป็นตัวตลก ทุกครั้งที่ฉันเดินผ่านกลุ่มเด็กนักเรียน บางคนพยายามจะจับเล่นผมที่ถักของฉัน

ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะสอนภาษาที่ฉันพูดได้อย่างคล่องแคล่ว จะมีบางคนให้ความสนใจกับผิวสีของฉัน มากกว่าวัฒนธรรมและการศึกษาที่ฉันสามารถให้กับเด็กๆ ได้”
คริสตินเล่ารายละเอียดมากมายถึงกิริยาอาการที่เพื่อนครูและผู้อำนวยการโรงเรียนไทย ไม่เพียงมองเห็นสีผิวของเธอเป็นเรื่องตลกขบขัน และทำเหมือนกับว่ามันเป็นข้อด้อยทางความสามารถของเธอ

ครั้งหนึ่งเธอถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนครูผิวดำอีกคนว่าเป็น “หมาขี้เหร่ตัวเมียสีดำ” แม้เพื่อนคนนั้นจะตอบกลับไปว่า “ไม่นะ เรางดงามต่างหาก” แต่มันก็ทำให้เธอต้องยืนก้มหน้า

เธอต้องผละงานจากสองสามโรงเรียนเพราะทนการหยามหมิ่นเรื่องสีผิวไม่ไหว แต่ก็พยายามใหม่ด้วยการส่งภาพถ่ายไปพร้อมใบสมัครให้ผู้อำนวยการพินิจพิจารณาเสียก่อนจากรูป ว่าตัวตนของเธออย่างไร จะได้ไม่มีปัญหาเมื่อเจอตัวตอนสัมภาษณ์

อนิจจา มันก็ยังไม่เป็นผล คราวนี้ผู้อำนวยการซึ่งพูดอังกฤษได้ดีทีเดียวบอกกับเธอว่า “นี่ฉันพูดอย่างใจเปิดกว้างแล้วนะ เพราะสีผิวของเธอพวกผู้ปกครองเด็กจะต้องมีข้อกังขา ว่าเธอไม่ใช่คนเชื้อชาติที่พูดอังกฤษแต่เกิด”

ผอ. บอกว่าจะต้องทดสอบการสอนของเธอดูก่อนจะพิจารณาตัดสิน แล้วบอกให้เธอไปรอที่อีกห้องหนึ่ง เธอเห็นสตรีผิวขาวชาวอังกฤษสองคนเดินผ่านไปเข้าสัมภาษณ์ ปรากฏว่าสองคนนั้นได้งานทันที ไม่ต้องมีการทดสอบ หรือแม้แต่ซักถามอะไรมาก

ครูชายชาวยุโรปที่นั่นคนหนึ่งเห็นเธอร้องไห้เสียใจ พยายามจะไปอธิบายกับผู้อำนวยการถึงความกดดันที่เธอได้รับตลอดมาในประเทศนี้ จากการมีผิวดำคล้ำแบบชาวอาฟริกัน
 

คริสตินลงท้ายข้อเขียนบล็อกของเธอว่านั่นไม่ใช่ความจริง “ฉันไม่ได้เจอปัญหาในประเทศไทยเพราะสีผิวของฉัน...ผิวของฉันไม่ได้มีอะไรเสียหาย” ปัญหามันอยู่ที่ ผู้คน ของประเทศนี้ต่างหาก