วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 17, 2558

บทความแปล: การประท้วงของกลุ่มนักศึกษาไทยอย่าง “ขอยืนอยู่สู้จนคนสุดท้าย” ต่อหน้ากองทัพ

อ้างอิงบทความแปล: การประท้วงของกลุ่มนักศึกษาไทยอย่าง “ขอยืนอยู่สู้จนคนสุดท้าย” ต่อหน้ากองทัพ

แปลจาก:  Thai students the 'last group standing' in protesting army coup
จากเพจของ สำนักข่าว รอยเตอร์ ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558
เขียนโดยคุณ AMY SAWITTA LEFEVRE

**********************

(สำนักข่าวรอยเตอร์) กลุ่มนักศึกษาไทยผู้ทำการประท้วงซึ่งเรียกกลุ่มตนเองว่า “ขอยืนอยู่สู้จนคนสุดท้าย” (Last Group Standing) เพื่อพยายามหาทางให้อำนาจการปกครองของฝ่ายทหารสิ้นสุดลง กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า พวกเขาจะทำการต่อต้านอย่างเปิดเผยกับสิ่งที่ผู้นำคนเดียวเรียกขานว่า ระบอบเผด็จการ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ทางกองทัพบกทำการยึดอำนาจการปกครอง



สมาชิกต่างๆ จากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย (ศนปท) ซึ่งมีประวัติพื้นเพเบื้องหลังทางการเมืองและทางเศรษฐกิจสังคมที่แตกต่างกัน ได้นำส่งเรื่องของความลังเลใจไปให้กับกลุ่มเผด็จการทหาร ซึ่งได้ตราหน้าว่า การประท้วงในที่สาธารณะนั้น เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กลุ่มเผด็จการทหารเอง ก็ยังคงต้องการรักษาถนอมน้ำใจกับแก่นแท้ที่สนับสนุนพวกเขาอยู่ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มชนชั้นกลางและนักธุรกิจชนชั้นสูงในกรุงเทพมหานคร




นักศึกษาบางคนให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวกับกลุ่ม “เสื้อแดง” รากหญ้าของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถูกขับไล่ลงจากฐานอำนาจ แต่คนอื่นๆ ก็ยังให้ความเห็นอกเห็นใจต่อกลุ่มอำมาตย์ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มใหญ่ๆ ที่ยังให้การสนับสนุนต่อรัฐบาลทหารอยู่


การฟื้นตัวต่อการประท้วงในพื้นที่สาธารณะ สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงการสั่นคลอนต่อเสถียรภาพของฝ่ายเผด็จการทหารที่ยังครองอำนาจในปัจจุบัน และกำลังดิ้นรนหาทางออกจากเรื่องการบริหารจากนโยบายที่งผิดพลาดในด้านเศรษฐกิจ ทางฝ่ายกองทัพบกกล่าวว่า ต้องการที่จะเจรจาต่อรองโดยตรงกับนิสิตนักศึกษา แต่เมื่อวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับกระทำการกักกันควบคุมตัวนักศึกษาหลายคนที่ก่อตัวในการประชุมบนพื้นที่สาธารณะ


หนทางที่แน่นอนซึ่งสามารถนำความยุ่งเหยิงมาสู่ฝ่ายรัฐบาลทหารได้ก็คือ ถ้าเกิดเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาในด้านเศรษฐกิจ  ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับประชาชนทั่วไป” กล่าวโดยคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ซึ่งเป็นสมาชิกฝ่ายอนุรักษ์นิยมของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์

ทางสมาชิกของ ศนปท กล่าวว่า พวกเขาเตรียมพร้อมยอมติดคุก เพื่อจะให้เห็นว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ได้ระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมาปกครองสู่ประเทศเสียทีหนึ่ง

“เราคือ ผู้ที่ขอยืนอยู่สู้จนคนสุดท้าย” กล่าวโดยคุณ Than Rittiphan ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มอายุ 22 ปี ด้วยการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์

ประเทศไทยได้มีการแบ่งขั้วทางการเมืองมามากกว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกขับไล่ออกไปจากตำแหน่ง พร้อมๆ กับครอบครัวของเขาซึ่งมีอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งพยายามเกี้ยวแก้เสนอนโยบายเกี่ยวกับด้านเงินอุดหนุนสมทบและด้านการดูแลสุขภาพโดยปราศจากค่าใช้จ่าย ให้กับผู้มีสิทธิ์ออกเสี่ยงซึ่งอยู่ในเขตชนบท แต่อีกฝั่งหนึ่งคือกลุ่มอำมาตย์ชนชั้นสูงทั่วๆ ไปในกรุงเทพมหานคร ที่รู้สึกว่าพวกตนเองถูกคุกคามจากการพุ่งขึ้นมาท้าทายกับอำนาจของกลุ่มทุนใหม่เหล่านั้น

การก่อการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม ทำให้การประท้วงบนท้องถนนที่ดำเนินการมาเป็นเวลานับเดือนได้สิ้นสุดลง เพื่อจุดประสงค์ที่จะโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯ เธอได้ถูกถอดถอนจากตำแหน่งก่อนที่จะถูกแย่งชิงอำนาจเพียงเวลาไม่กี่วัน หลังจากที่ทางศาลทำการตัดสินว่ากระทำความผิดโดยโทษฐานการใช้อำนาจในทางที่ผิด

**********************

เราจะใช้วิธีการเจรจาต่อรอ


บุคคลที่ทำการวิพากย์วิจารณ์ผู้ก่อการรัฐประหาร รวมไปถึงกลุ่มแกนนำ “เสื่อแดง” ที่สนับสนุนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นั้น ส่วนใหญ่ต่างก็หลบหนีลงดินไปหมด แต่ถึงแม้จะมีการจับตาาอย่างเข้มงวดจากฝ่ายกองทัพบกก็ตาม ก็ยังมีนักศึกษามากกว่า 60 คนยังคงอยู่ในหัวแถวของการประท้วงในที่สาธารณะทุกๆ ครั้ง ตั้งแต่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นมา

ส่วนการประท้วงก่อหวดทุกๆ ครั้ง ก็ถูกสลายไปโดยฝ่ายทางการ และนักศึกษาเป็นจำนวนหลายสิบคน ก็ถูกควบคุมตัว และถูกปล่อยเป็นอิสระในเวลาต่อมา

ฝ่ายนักศึกษากล่าวว่า ความไม่พึงพอใจเกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐกิจ ที่เติบโตขึ้นมาอยู่อย่างต่อเนื่องนั้น หมายถึงว่า ประเทศไทย ได้เดินมาถึงจุดสุกงอมอย่างเต็มที่แล้ว เพื่อการประท้วงของที่คลื่นรอบต่อไปจะได้บังเกิดขึ้น ประเทศชาติซึ่งยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากนั้น กำลังดิ้นรนขวนขวายในการที่จะดึงตัวให้คืนฟื้นสู่สภาพปกติหลังจากการก่อการรัฐประหาร ประเทศไทยได้เห็นการเจริญเติบโตในปี พ.ศ. 2557 อยู่เพียง 0.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นปีที่อ่อนแอที่สุดหลังจากน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา

“ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายในระบอบเผด็จการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ การจัดการบริหารงานเกี่ยวกับทางด้านเศรษฐกิจ” คุณ Than กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์

คุณ Than ซึ่งลาออกจากการเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ฝ่ายนักศึกษาเอง ก็มีผู้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวน “นับร้อย” แต่พวกนั้น ก็ยังคงกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยออกมา

กลุ่มเผด็จการทหาร ซึ่งใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช กล่าวว่า ทาง คสช เอง ต้องการที่จะเจรจาต่อรองกับนิสิตนักศึกษาเหล่านี้

“เราจะใช้วิธีการเจรจาต่อรอง แต่ถ้าพวกเขายังขัดขืนยังจัดกิจกรรมอยู่ในกลุ่มของพวกเขา เราก็จะนำตัวพวกเขาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป” กล่าวโดย พันเอกวินธัย สุวารี ซึ่งเป็นโฆษกของกลุ่มเผด็จการทหารกับสำนักข่าวรอยเตอร์

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นักศึกษาผู้จัดกิจกรรมจำนวนนับสิบคนได้ทำการเดินขบวนซึ่งนานๆ จะเกิดสักครั้งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และทำการตั้งโต๊ะจำลองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง – ซึ่งเป็นการประท้วงต่อรัฐบาลทหารที่ทำการเลื่อนเปลี่ยนแผนกำหนดการเลือกตั้งซึ่งควรจะเกิดขึ้นในปีนี้ ให้กลายไปเป็นในปี พ.ศ. 2559 แทน

นักจัดกิจกรรม 4 คน รวมทั้ง คุณสิรวิทย์ เสรีธิวัฒน์ ซึ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ยังถูกคุมขังอยู่ด้วย

คุณสิรวิทย์ ได้ถูกกล่าวหาว่า ทำการฝ่าฝืนกฎอัยการศึก ซึ่งห้ามไม่ให้มีการประชุมกันในที่สาธารณะเกินกว่า 5 คน รวมทั้งละเมิดเงื่อนไขในเอกสารที่เขาถูกบังคับให้เซ็นเมื่อปีที่แล้ว โดยสัญญาว่า จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทำการในกิจกรรมใดๆ ทางการเมืองทั้งสิ้น

เขาได้ถูกปล่อยตัวออกมา หลังจากถูกควบคุมอารักขาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเวลาเกือบถึง 12 ชั่วโมง และต้องจ่ายเงินค่าประกันตัวจำนวน 4 หมื่นบาท ($1,230) มีการคาดหมายว่า เขาจะต้องเผชิญหน้าด้วยการถูกขึ้นศาลทหารในการพิจารณาดคีของเขา

คุณทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ซึ่งเป็นนักศึกษานั้น ทำการเปรียบเทียบกับคลื่นการจัดกิจกรรมต่างๆ ในปัจจุบันว่า เหมือนกับเหตุการณ์วันมหาวิปโยคเมื่อปี พ.ศ. 2516 และการปราบปรามการประท้วงของนักศึกษาฝ่ายซ้ายโดยฝ่ายกองทัพบกเมื่อปี พ.ศ. 2519 ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการใช้ศาลเตี้ยเพื่อการลงโทษ รวมไปถึงการทุบเฆี่ยนตีและการยิงด้วยกระสุนจริง ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการนั้น จำนวนผู้ประท้วงอย่างน้อยทีสุด 46 คนได้เสียชีวิตลงไป และพาประเทศถอยหลังเข้าคลองเป็นเวลานานนับปี ภายใต้อำนาจของฝ่ายทหาร

คุณป้าและคุณลุงของคุณทรงธรรม ก็เคยเป็นนักศึกษาผู้ต่อสู้ทางกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองเมื่อสมัยทศวรรษ ปั2513 - 2523 เป็นต้นมา

“เรารับคทาคบเพลิงต่อมาจากรุ่นพ่อ ซึ่งเป็นรุ่นของปี พ.ศ. 2519” กล่าวโดยคุณทรงธรรม และเพิ่มเติมด้วยว่า เขาไม่ได้มาหลับนอนที่บ้านเขาเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทางฝ่ายกองทัพบกทราบว่า เขาไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง

“มีครูบาอาจารย์บางท่านที่ยังให้การสนับสนุนพวกเรา แต่เพราะว่ากฎอัยการศึกยังคุ้มหัวเราอยู่ ท่านเหล่านี้ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ว่าเป็นใครกันบ้าง”

**************************************************

ความคิดเห็นของผู้แปล:

เชิญแชร์บทความได้ตามสบายค่

บทความนี้ เป็นบทความเกี่ยวกับการที่ผู้บังคับใช้กฎหมายของไทย ทำการลากตัวและจับตัวกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ทำการประท้วงเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ กลับกลายเป็นข่าวใหญ่ ขยายตัวไปทั่วโลก โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ เห็นสื่อต่างประเทศหลายแห่งนำมาลง ก็เลยขอแปลไว้ เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในเวลาต่อมา

สิ่งที่แปลกใจสำหรับดิฉัน คือ คำพูดของ พันเอกวินธัย เอง ซึ่งกล่าวว่า “เราจะใช้วิธีการเจรจาต่อรอแต่ถ้าพวกเขายังขัดขืนยังจัดกิจกรรมอยู่ในกลุ่มของพวกเขา เราก็จะนำตัวพวกเขาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป” มันดูเหมือนกับว่า ถ้าน้องๆ นักศึกษาเหล่านี้ยังจัดกิจกรรม พวกทหารก็สามารถ “นำตัวพวกเขาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ” นั่นก็หมายความว่า ทางฝ่ายทหารสามารถเข้าไปจับกุมได้นั่นเอง

นี่ไม่ใช่การเจรจาต่อรองเลย เพราะคุณต้องการที่จะจับกุมตัวนิสิตนักศึกษาเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่อ้างให้ดูดีว่า ตนเองเปิดให้มีการเจรจาต่อรอง แต่เงื่อนไขต่างๆ ต้องอยู่ในข้อแม้ของตนเองน่ะซิคะ?


ดิฉันคิดว่า ถ้าเรื่องนี้ มีการนำตัวพลเรือนเข้าไปสู่ศาลทหารเกิดขึ้น ด้วยข้อหาว่า มีการชุมนุมกัน ก็ต้องดูสถานการณ์เดียวกันกับ การประท้วงเกี่ยวกับปิโตรเลียมหรือที่อื่นๆ ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมเกิน 5 คนเสียด้วยซ้ำไป เมื่อกฎหมายในประเทศไทย ยังมีเรื่องสองมาตรฐานต่อการเปรียบเทียบอยู่เรื่อยๆ จุดที่สำคัญที่สุด คือ ความอดทนของประชาชน มันก็คงจะไม่เหลืออะไรอีกต่อไปในวันเวลาหนึ่งเป็นแน่

ข่าวในแง่ลบนั้น เป็นข่าวที่แก้ไขได้ยาก เพราะมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ ไม่ว่าท่านจะมีบุคลากรมากมายในด้าน IO เพียงใด จำนวนที่มีก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนใจบุคคลผู้รักอิสรภาพ เสรีภาพ ตามระบอบประชาธิปไตยได้อย่างแน่นอน...

Doungchampa Spencer-Isenberg