วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 25, 2557

ท่าทางคงจะกระดากใจ ที่วันๆ ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม แต่ยังนั่งฟาดเงินเดือนเป็นแสนๆ อยู่ร่วมครึ่งปี หรือไม่ก็กลัวคนลืม สำหรับ กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร จึงออกมาแสดงบทบาท



ท่าทางคงจะกระดากใจ ที่วันๆ ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม แต่ยังนั่งฟาดเงินเดือนเป็นแสนๆ อยู่ร่วมครึ่งปี หรือไม่ก็กลัวคนลืม สำหรับ กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร จึงออกมาแสดงบทบาท

โดยประกาศว่ากำลังเร่งพิจารณารวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่ทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 ก.พ. เป็นโมฆะ คิดมูลค่าความเสียหายสูงถึง 3 พันล้านบาท!?!

แม้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบความเสียหายของการใช้งบประมาณ

แต่เมื่อฟังเหตุผลของนายสมชัย ที่ระบุว่า กกต.พยายามส่งสัญญาณให้รัฐบาลขณะนั้นได้รับทราบทุกวิถีทางว่าถ้าจัดการเลือกตั้งต่อไป ก็ต้องเป็นโมฆะ

เพราะ 28 เขตเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ไม่สามารถรับสมัครเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตได้

แต่รัฐบาลขณะนั้นไม่ฟัง และมองว่ากกต.จินตนาการ พูดเหตุการณ์ล่วงหน้า กกต.จึงจะต้องหาคนรับผิดชอบค่าเสียหายกับใครก็ตามที่ทำให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ต้องสูญเปล่า ก็รู้สึกทะๆ ทันที

เพราะดูเหมือนจะตัดตอนความรับผิดชอบอยู่ที่รัฐบาลเพื่อไทยเท่านั้น

ทั้งที่หากย้อนไปถึงขบวนการที่ทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ต้องล้มเหลว

ก็ต้องไล่ตั้งแต่กลุ่มแก๊งต่างๆ จำนวนมาก

ตั้งแต่พรรคการเมืองเก่าแก่บอยคอตเลือกตั้ง กปปส.ระดมเป่านกหวีด ขัดขวางทั้งการสมัครเลือกตั้ง และขวางคูหาไม่ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ

ข้าราชการบางกลุ่มที่รู้เห็นเป็นใจ เกียร์ว่างไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

องค์กรที่ควรอำนวยความเป็นธรรม ทั้งหลายก็เพิกเฉย ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ประชาชน ปล่อยให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมิคสัญญี

จนกลายเป็นข้ออ้างให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง

ซึ่ง 1 ในนั้นก็มีกกต.ที่นายสมชัย ดำรงตำแหน่งอยู่ เป็นหน่วยงานที่ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ประสบการณ์ ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จลุล่วง

ถือเป็นตัวปัญหาและอุปสรรคของประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง

ไม่ทราบนายสมชัยไม่รู้จริงๆ หรือเป็นอัลไซเมอร์ไปแล้ว

ข้อเท็จจริง
คือ 1. กกต.มีมติยืนยันจัดการเลือกตั้งตามกำหนดเดิมและการเลือกตั้ง (2 ก.พ.) ก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว 85 เปอร์เซ็นต์
โดยมีพี่น้องประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกว่า 20 ล้านคน แสดงว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต.

2.กกต.ทราบล่วงหน้าว่าจะมีม็อบไปขัดขวางเลือกตั้งแน่นอน แต่ กกต.กลับไม่ขอกำลังทหาร ตำรวจ เข้าไปดูแลหน่วยเลือกตั้งทั้งๆที่ กกต. มีอำนาจสั่งการได้ทันที นี่จึงเป็นความผิดผลาดบกพร่องของ กกต โดยตรง

ถามว่า นายสมชัย ควรฟ้องเรียกค่าเสียหายจากใคร ????
ตอบว่า นายสมชัย ต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากตนเอง เพราะ นายสมชาย เป็น กกต. ฝ่ายจัดการเลือกตั้งโดยตรง

และสุดท้ายตบหน้า กกต. นายสมชัยด้วย คำแถลงการณ์ ของนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ขอบคุณพี่น้องประชาชนออกไปใช้
สิทธิเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. 2557 ซึ่งมีผู้ไปใช้สิทธิ์ลงคะเเนน 89,813 หน่วย หรือคิดเป็น 89.2 เปอร์เซ็นต์ ประธาน กกต.ขอยืนยันให้ประชาชน
มั่นใจว่า กกต.จะไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ใดๆเพื่อจัดการเลือกตั้งให้สุจริต เที่ยงธรรม สมตามเจตนารัฐธรรมนูน

ถามว่า นายสมชัย เป็นอัลไซเมอร์ หรือเปล่า ผมว่าไม่ แต่เป็น บ้า ครับ...!!

ส. ผาน้ำย้อย
....




ประชาชนเขาแจ้งความแล้วว่าเลือกตั้งไม่ได้เพราะใคร

ที่มา Voice TV

อดีต กกต.ชี้ การโมฆะเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่ความผิดของอดีตรัฐบาลรักษาการ เนื่องจากทำตามกรอบที่กฏหมายกำหนด ระบุ กกต.ชุดปัจจุบัน มีส่วนต้องร่วมรับผิดชอบ เช่นเดียวกับผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง

นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการ กกต. เตรียมดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท จากกรณีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ โดยยังไม่ได้ระบุว่าจะทำการฟ้องร้องต่อผู้ใด

โดยชี้ให้เห็นตัวอย่างเทียบเคียงกับการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2548 ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะเช่นกัน ในครั้งนั้น ศาลได้กำหนดให้คณะกรรมการ กกต.ทั้ง 5 เป็นผู้รับผิดชอบชดใช้เงินที่ใช้จ่ายไปจึงไม่มีทางที่ กกต.ชุดปัจจุบัน จะหนีความผิดจากกรณีการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ไปได้ เช่นกัน

อีกทั้งระหว่างที่มีผู้ประกาศชัดเจน ว่าจะขัดขวางการรับสมัครรับเลือกตั้งและการเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่า กกต.ชุดปัจจุบัน ไม่ย้ายสถานที่รับสมัครรับเลือกตั้ง หรือประสานเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่นๆ เพื่อให้การเลือกตั้งดำเนินต่อไปได้ จึงเท่ากับว่า กกต.ที่จัดการเลือกตั้งในครั้งนั้น มีฐานะต้องเป็นจำเลยร่วม โทษฐานที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

ส่วนกรณีของอดีตรัฐบาลรักษาการ นั้น นางสดศรีกล่าวว่า เนื่องจากกฏหมายบังคับให้รัฐบาล ต้องออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งภายใน 60 วัน และออกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งเท่ากับรัฐบาลได้ทำหน้าที่ของตน เกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์แล้ว การจัดการเลือกตั้ง หรือการส่งคำร้องให้ศาล ว่าไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เป็นหน้าที่ของ กกต.แต่เพียงผู้เดียว ซึ่ง กกต.ก็ไม่ปฏิบัติอีก

นอกจากนี้ นางสดศรียังเห็นว่าในปัจจุบัน กกต.มีอำนาจที่มากเกินไป มีอำนาจวินิจฉัยเพียงผู้เดียว ที่จะแจกใบเหลือง-ใบแดงได้ และทำให้มีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจเหล่านั้นในทางที่ผิด จึงเห็นว่าในอนาคต กกต.ควรจะมีการปฏิรูป ให้มีอำนาจจัดการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น