วันจันทร์, สิงหาคม 25, 2557

ข้าราชการ2.7ล้านเตรียมเฮ...ภาคอื่นเตรียมถูกเล...วิกฤตกว่ายุคฟองสบู่แตก


ชง 7-8% รอรบ.ใหม่เคาะ ขึ้นเงินขรก. วิกฤตชาวสวนยางใต้ แห่ปล่อยยึด-ขายรถ สุราษฎร์ยอดวูบ 80% !

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชง′บิ๊กตู่′เคาะขึ้นเงินเดือน ขรก.-ลูกจ้าง ′คลัง′สรุปแผนแล้ว ตั้งเป้าเพิ่ม 8% ใช้งบเกือบ 6 หมื่นล้านบาท รอ′บิ๊กตู่′เคาะจ่าย ต.ค.นี้หรือ เม.ย.58 ททท.กระตุ้นท่องเที่ยว

@ ′บิ๊กตู่′เคาะเพิ่มเงินเดือน

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการปรับโครงสร้างบัญชีเงินเดือนข้าราชการว่า ขณะนี้กรมบัญชีกลางได้จัดทำข้อสรุปเกี่ยวกับวงเงินที่จะใช้สำหรับการปรับเงินเดือนตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้คงต้องรอนโยบายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ว่าจะประกาศให้ขึ้นเงินเดือนอัตราใด และคงต้องติดตามดูว่าจะเป็นเมื่อใด โดยการขึ้นเงินเดือนนั้นมี 3 ส่วน คือ 1.ปรับเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำชั้นผู้น้อย 2.ปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพให้แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ 3.ปรับเงินค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง 

"กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสำนักงานงบประมาณหารือกันในเบื้องต้น ทาง ก.พ.เสนอให้ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนในปีงบ 2558 ในอัตรา 8% โดยเทียบเคียงจากดัชนีราคาผู้บริโภคปีปัจจุบันที่อยู่ระดับ 7.2%" แหล่งข่าวกล่าว 

@ ข้าราชการ2.7ล้านเตรียมเฮ

แหล่งข่าวกล่าวว่า การปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้มีกลุ่มข้าราชการ ลูกจ้าง ข้าราชการเกษียณได้รับประโยชน์รวม 2.7 ล้านคน ประกอบด้วย ข้าราชการ 1.7 ล้านคน ลูกจ้างประจำ 1.61 แสนคน พนักงานข้าราชการ 2.19 แสนคน ข้าราชการเกษียณที่รับเบี้ยหวัด บำนาญ อีก 6.12 แสนคน 

"กรมบัญชีกลางประเมินงบประมาณที่จะใช้เปรียบเทียบกัน โดยหากปรับเงินเดือนกลุ่มดังกล่าวทั้งหมดในอัตรา 7% จะต้องใช้เงินเดือนละประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อเดือน และหากปรับขึ้น 8% จะใช้เงินประมาณ 4,700 ล้านบาทต่อเดือน โดยเงินเดือนในปัจจุบันอยู่ที่เดือนละ 58,500 ล้านบาท ถ้าปรับเพิ่ม 7% ใช้เงินปีละ 48,000 ล้านบาท ถ้าปรับขึ้นเดือนเมษายนใช้เงินปีแรก 24,000 ล้านบาท หากปรับขึ้น 8% ใช้เงินปีละ 56,400 ล้านบาท ถ้าขึ้นช่วงเมษายนใช้เงิน 28,200 ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว 

@ ตุลาฯไม่ทัน ปรับขึ้นเม.ย.58

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับแนวทางการปรับเพิ่มค่าครองชีพนั้น คสช.ต้องการให้ปรับเพิ่มสำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ทหารกองประจำการ ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 9,000-12,285 บาทต่อเดือน เพิ่มค่าครองชีพให้เป็น 2,000 บาท จาก 1,500 บาท หากใครที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง 10,000 บาท (เดิม 9,000 บาท) ให้เพิ่มค่าครองชีพขึ้นจนถึง 10,000 บาท 

"มีกลุ่มข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และทหารกองประจำการอยู่ในข่ายที่จะได้รับค่าครองชีพตรงนี้ประมาณ 3.7 แสนราย โดยกลุ่มข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ลูกจ้างประจำที่จะได้รับค่าครองชีพเพิ่มมีอยู่ 1.2 แสนคน ทหารกองประจำการ 2.49 แสนคน คาดว่าใช้งบประมาณปีละกว่า 2,370 ล้านบาท หากไม่สามารถปรับขึ้นได้ทันทีในเดือนตุลาคมนี้ ก็จะไปปรับขึ้นในเดือนเมษายน 2558 ใช้งบประมาณ 1,180 ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าว 

@ จัด′ไทยไนท์′กระตุ้นท่องเที่ยว

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.เตรียมเข้าร่วมงานส่งเสริมการขายรายการ "จาต้า ทัวริสซึ่ม เอ็กซ์โป 2014" ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 25-28 กันยายนนี้ ซึ่งปีนี้จะเพิ่มระดับการรับรู้และสร้างความมั่นใจด้านการท่องเที่ยวของไทยมากเป็นพิเศษ หลังจากที่ผ่านมาไทยเกิดปัญหาทางการเมืองสะสมมานาน จนทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวลดน้อยลง ทั้งนี้ คาดว่าจะมี 150 ประเทศทั่วโลกร่วมออกบูธ และมีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติตลอด 4 วันไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนคน

นางศรีสุดากล่าวว่า นอกจากนี้ ปีนี้จะมีการจัดงาน "ไทยไนท์" เป็นกิจกรรมพิเศษในวันที่ 24 กันยายนนี้ โดยเชิญบุคคลระดับสูงของไทยเข้าร่วมงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำบริษัททัวร์รายใหญ่ที่มีอิทธิพลในตลาด และสื่อมวลชนจากญี่ปุ่นรวมกว่า 160 ราย ที่จะมาร่วมงาน

@ ดึงผู้เฒ่ายุ่นพักเชียงใหม่-ชลบุรี

"ททท.ยังมีแผนกระตุ้นตลาดผู้สูงอายุในญี่ปุ่น วางเป้าหมายไปที่กลุ่มพำนักระยะยาว (ลองสเตย์) เนื่องจากปัจจุบันไทยมีจุดหมายทั้งใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ชลบุรี ที่เป็นชุมชนผู้สูงอายุสำหรับชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก โดย ททท.ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเจแปน ลองสเตย์ ฟาวน์เดชั่น ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการเป็นศูนย์กลางด้านการให้ข้อมูลความรู้แก่ประชากรสูงอายุในญี่ปุ่น ที่ต้องการหาจุดหมายลองสเตย์ในวันเกษียณอายุ ด้วยการเข้าไปจัดสัมมนาตามเมืองต่างๆ ในญี่ปุ่นตลอดทั้งปี

นางศรีสุดากล่าวว่า ส่วนตลาดจีนที่มีการเติบโตของผู้สูงอายุเช่นกันนั้น จะผลักดันให้บริษัทนำเที่ยวเป็นผู้รับตลาดนี้โดยตรง เนื่องจากประเมินว่าตลาดผู้สูงวัยจากจีนยังต้องเลือกเดินทางผ่านทัวร์ 100% เพราะมีความสะดวกมากกว่า ทั้งในแง่การดูแลอำนวยความสะดวกการเดินทาง และการใช้ภาษาที่ผู้สูงอายุยังปรับตัวได้ไม่ทันกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่เริ่มเดินทางเองและสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้มากขึ้น

@ แอตต้าร่วมโรดโชว์จีน2เมือง

นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า สมาคมเตรียมร่วมกับ ททท. จัดงานโรดโชว์ 2 เมืองหลักในจีนคือ ปักกิ่ง ในวันที่ 2 กันยายน และเซี่ยงไฮ้ วันที่ 4 กันยายนนี้ โดยจะเชิญเอเยนต์เมืองละ 300 บริษัท และสื่อมวลชนเมืองละ 50 ราย ร่วมพบปะผู้ประกอบการของไทยราว 100 ราย เพื่อเจรจาธุรกิจและนำเสนอกิจกรรมและสินค้าทางการตลาด หลังจากที่ไทยประกาศมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้จีน มีผลไปถึงวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าในช่วง 3 เดือนภายใต้มาตรการดังกล่าว กลุ่มบริษัทนำเที่ยวจะผลักดันให้ได้ส่วนแบ่งตลาด 45-50% จากที่คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาราว 1 ล้านคน

นางฐิติพร มณีเนตร ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานฮ่องกง กล่าวว่า ปี 2558 จะเน้นทำตลาดกลุ่มคู่รักของฮ่องกงเป็นปีแรก ตั้งเป้าหมายไว้ 30 คู่ต่อปี ชูประเด็นว่า คู่รักสามารถทำการจดทะเบียนสมรสที่ไทยได้ รวมถึงหามาตรการจูงใจให้จัดงานมงคลสมรสที่เมืองไทย เพราะชาวฮ่องกงจะใช้จ่ายในการจัดงานสูงถึง 1.5 ล้านบาทต่อคู่ ประกอบกับกฎหมายของฮ่องกงที่เอื้ออำนวยให้ประชาชนสามารถจดทะเบียนสมรสได้ทั่วโลก ทำให้คนที่มีฐานะจึงนิยมจะออกมาจัดงานที่ต่างประเทศ เพื่อที่จะแสดงความหรูหรามากกว่าคู่อื่นๆ

@ หยุดกรีด-ขายแก้ยางราคาตก

นายเพิก เลิศวังพงก์ ประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ว่าแกนนำชาวสวนยางในบางจังหวัดอยู่ระหว่างการพิจารณาหามาตรการในการแก้ปัญหาราคาที่ปรับตัวลดลง โดยชาวสวนยางส่วนใหญ่พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับแกนนำ ซึ่งประเด็นหลักที่มีการหารือร่วมกันของแกนนำชาวสวนยาง คือการหยุดกรีดยาง หรือหยุดนำยางเข้าขายในท้องตลาดพร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อที่จะทำให้ยางหายไปจากท้องตลาดและมีความต้องการในการซื้อยางเข้าสู่ระบบมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างการรอดูท่าทีการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะมีมาตรการอย่างไรหรือไม่ ก่อนที่จะหารือร่วมกันอีกครั้ง 

รายงานข่าวจากตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ จ.สงขลา ว่าราคายางแผ่นดิบอยู่ที่กิโลกรัมละ (ก.ก.) 52.82 บาท ส่วนราคายางแผ่นดิบในตลาดท้องถิ่นอยู่ที่ ก.ก.ละ 50.80 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 

@ แกนนำสุราษฎร์ฯโวยตร.ข่มขู่

นายไพโรจน์ ฤกษ์ดี ทนายความและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางพารา ในนามแนวร่วมเกษตรกรชาวสวนยางพาราบ้านส้องและพันธมิตรในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ที่เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.สุราษฎร์ธานี ถึงหัวหน้า คสช.ให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางจากปัญหาราคาตกต่ำภายใน 7 วัน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรกรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มาพบและขอข้อมูลปัญหาความเดือดร้อน โดยจะนำเข้าที่ประชุมของจังหวัดและส่งเรื่องเรียกร้องไปให้ส่วนกลางได้รับทราบ 

"ขอขอบคุณที่ราชการมีความจริงใจจะแก้ปัญหา นอกจากนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เวียงสระ ได้มาตรวจสอบผม พร้อมขอให้ยุติเคลื่อนไหว จึงแจ้งไปว่าหยุดไม่ได้ เพราะทำด้วยความบริสุทธิ์ใจจากความเดือดร้อนของชาวบ้านจริงๆ โดยมีชาวสวนยางที่รอฟังผลอยู่และพร้อมจะเคลื่อนไหวด้วย" นายไพโรจน์กล่าว

@ ชี้วิกฤตกว่ายุคฟองสบู่แตก

นายบุญส่ง นับทอง นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมชาวสวนยาง จ.กระบี่ กล่าวว่า ราคายางตอนนี้เหมือนกับเลือดที่ไหลออกไม่หยุด ถ้ารัฐบาลประกาศนโยบายชัดเจนเชื่อว่าจะหยุดได้ เพราะรถยนต์ของชาวสวนยางที่ถูกยึดไปแล้วมีเยอะเลย และที่ จ.กระบี่ เริ่มมียึดแล้ว โดยเฉพาะรถใหม่ที่กำลังผ่อนดาวน์ไม่มีเงินส่งต่อ รวมทั้งรถยนต์คันแรกส่งคืนไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และครอบครัวที่เคยส่งลูกไปโรงเรียนดีๆ ในตัวเมืองได้ให้ย้ายกลับมาเรียนในพื้นที่ นับเป็นวิกฤตรุนแรงที่สุดกว่ายุคฟองสบู่แตกปี 2540 จากค่าครองชีพสูงและราคาผลผลิตตกต่ำ

รถยนต์ที่ถูกยึดส่วนใหญ่เป็นรถใหม่ที่มีแคมเปญแจกแถมมากมาย ไฟแนนซ์พยายามใช้วิธีเจรจามากกว่าจะยึดคืน เพราะยึดไปขายต่อยาก โดยให้มีการยืดหนี้ลดผ่อนส่งจากเดือนละ 12,000 บาท เหลือ 8,000 บาท แต่จะทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มจาก 3 ปี เป็น 6 หรือ 4 ปี เป็น 8 ปีเป็นหนี้เพิ่มอีกนานจนเกิดกระทบเป็นลูกโซ่

@ ยอดขายรถใหม่-เก่าวูบ80%

นายทิวา วรรณรัตน์ อายุ 42 ปี เจ้าของธุรกิจเต็นท์รถยนต์มือสองในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ธุรกิจเต็นท์รถมีทั้งรับจำนองรถและขายรถมือสอง แต่สภาพซบเซาต่อเนื่องรถขายไม่ออก ลูกค้าที่นำมาจำนองส่วนใหญ่เป็นชาวสวนยางและสวนปาล์ม หลังจากราคายางไม่ดีและเกิดการปฏิวัติจึงหยุดรับจำนำรถ ทำให้ถูกไฟแนนซ์ยึดรถมากขึ้น เพราะรายได้ของเกษตรกรหายไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ช่วงที่ยางราคาดีเคยมีรถมาจำนองเดือนละร่วม 100 คัน รถมือสองขายได้ขั้นต่ำเดือนละ 50 คัน ตอนนี้ได้แค่ 10 คันเป็นมา 5-6 เดือนหลังยางราคาตกมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา จึงชะลอซื้อรถเข้าเต็นท์และที่มีอยู่ยอมขายขาดทุน 

ด้านนายจักรพงษ์ ฤทธิเดช อายุ 46 ปี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด สาขาสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ตอนนี้ยอดขายรถยนต์ทั้งใหม่และเก่าลดลง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงยางราคาดีเมื่อปี 2555 ที่ กก.ละ 90 บาท และทั้งปีนี้ยอดขายใน จ.สุราษฎร์ธานี ยังไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลย และที่ธนาคารมีลูกค้ามาคืนรถไม่ส่งต่อแล้ว 25 เปอร์เซ็นต์ จากปกติที่มีไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการยึดคืนมีถึง 15 เปอร์เซ็นต์แล้ว และแนวโน้มถึงสิ้นปีนี้การคืนรถน่าจะถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ที่ออกแคมเปญไม่มีดาวน์ แต่ผ่อนสูงเดือนละ 12,000-16,000 บาทขึ้นไป 

@ ขายเต็นท์-จำนำ-ปล่อยให้ยึด

นายพิบูลย์ บินล่าเต๊ะ เจ้าของพิบูลย์คาร์เซ็นเตอร์ จำหน่ายรถยนต์มือสอง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า ราคายางพาราที่ตกต่ำลงทำให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์หายไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ในขณะเดียวกันมีการขายรถยนต์เข้าสู่เต็นท์รถยนต์มือสองเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ของชาวสวนยางที่เคยซื้อเอาไว้ ในช่วงที่ราคายางสูงเกือบ กก.ละ 200 บาท แต่เมื่อราคาตกต่ำ ทำให้ไม่สามารถหาเงินมาผ่อนได้ทัน 

"รถยนต์มือสองขณะนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ผู้ขายนำรถมาขายก็ได้ราคาต่ำ ผู้ซื้อแม้จะได้ราคาที่ต่ำ แต่ประสบปัญหาในเรื่องของการจัดไฟแนนซ์ที่จะต้องมีการตรวจสอบลูกค้าอย่างละเอียดมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการกังวลว่า หากราคายางยังตกต่ำต่อไปอีก ตลาดรถยนต์จะซบเซาลงมากกว่านี้" นายพิบูลย์กล่าว

ด้านนายเดโช (ขอสงวนนามสกุล) ผู้จัดการฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน บริษัทรถมือสองแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้มีการประชุมของกลุ่มบริษัทรถที่มีกว่า 20 แห่ง พบว่าชาวสวนยางที่เคยซื้อรถยนต์ในราคามือหนึ่งจากบริษัทรถยนต์ต่างๆ ในจังหวัด ต่างทยอยนำรถมาจำนำ บางรายปล่อยให้รถถูกยึด เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ได้ โดยตั้งแต่เกิดปัญหาราคายางพารามีรถที่นำมาจำนำทั้งทะเบียน และตัวรถยนต์กว่า 10% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอัตราที่สูง

@ ตั้งคณะร่างยุทธศาสตร์4พืช

นายชวลิตเปิดเผยถึงผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานว่า ที่ประชุมมีมติตั้งคณะทำงานร่างกรอบแผนยุทธศาสตร์สินค้าทั้ง 4 ตามที่กระทรวงเสนอ โดยมีอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นประธานคณะทำงานการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เป็นประธานจัดทำแผนยุทธศาสตร์น้ำมันปาล์ม แต่ส่วนของยุทธศาสตร์อ้อยนั้น ที่ประชุมมีมติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะทำงาน แทนเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) 

"คณะทำงานฯจะต้องนำเสนอโครงร่างยุทธศาสตร์ให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และนำเสนอต่อที่ประชุมใหม่อีกครั้ง คณะทำงานร่างนี้จะมีภาคเอกชนร่วมเป็นที่ปรึกษา เพื่อให้ยุทธศาสตร์มีความครอบคลุมและเป็นไปตามความต้องการของทุกภาคส่วน และจะมีบทบาทสำคัญทั้งภาคการผลิตและการส่งออก ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ส่งเสริมการผลิตส่งออกอย่างครบวงจร" นายชวลิตกล่าว

@ ′บิ๊กฉัตร′แนะเพิ่มงานวิจัย

นายชวลิตกล่าวว่า นอกจากนี้ พล.อ.ฉัตรชัยได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมในที่ประชุมว่า ควรเพิ่มการส่งเสริมงานวิจัยด้านเกษตรมากขึ้น เพื่อช่วยในการพัฒนาและได้ผลผลิตที่มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด ยกระดับในสินค้าเกษตรเศรษฐกิจของประเทศมีความเข้มแข็ง ส่งออกไปต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง

นายชวลิตกล่าวว่า เมื่อได้ข้อสรุปร่างยุทธศาสตร์ฯแล้ว จะเสนออนุกรรมการพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งหากได้ร่างฉบับสมบูรณ์ มั่นใจว่า จะช่วยกำหนดแนวทางและทิศทางในการพัฒนาพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า ได้อย่างชัดเจน เป็นการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานทดแทน เกิดความสมดุล เข้มแข็ง รวมทั้งมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน และเป็นแบบแผนรองรับ ข้อมูลด้านการผลิต การประมาณการในด้านการตลาด ทั้งการส่งออกและการนำเข้าสินค้าพืชเศรษฐกิจ 

@ หอค้าให้รื้อโครงสร้างผลิต

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตระกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการกล่าวว่า การที่ คสช.และกระทรวงเกษตรฯพยายามผลักดันยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร 4 ชนิด ที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ไทยจะมียุทธศาสตร์การเกษตร เพราะในอนาคตไทยยังต้องพึ่งพารายได้จากสินค้าเกษตรเป็นหลัก โดยมองว่า นอกเหนือจากการวางยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร 4 ชนิดนี้ ไทยควรปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรใหม่ทั้งหมด โดยต้องระบุเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อพัฒนาการเพาะปลูกโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ และคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังควรแก้ไขอุปสรรคอื่นที่มีผลต่อสินค้าเกษตร เช่น การตกลงทางการค้า การตกลงสิทธิประโยชน์ทางภาษี

"การอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรบางชนิดยังต้องมีอยู่ เพื่อดูแลราคาให้มีเสถียรภาพ แต่ไม่ใช่การอุดหนุนมากจนกลไกตลาดได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม หรือปลูกพืชที่เกินความต้องการของตลาดหันมาปลูกพืชที่ตลาดต้องการ โดยหอการค้าได้เสนอให้ภาครัฐผลักดันนโยบายปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไม่เหมาะสมมาปลูกพืชอื่นแทน เช่น อ้อย ข้าวโพด" นายพรศิลป์กล่าว 
...

เรื่องเกี่ยวข้อง...

แย่แล้ว! ประมูลรถยนต์ยึดจากเกษตรกรสวนยาง-ปาล์ม อื้อ! เหตุผ่อนไม่ไหว ราคายางดิ่งหนัก

ที่มา มติชนออนไลน์


เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ บริเวณริมถนนเลี่ยงเมือง ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ได้มีการนำรถยนต์มือสองและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนไม่ได้(ซากรถ) เป็นจำนวนมากกว่า 500 คัน มาเปิดประมูลซื้อขายซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถที่บริษัทไฟแนนซ์ รวมทั้งบริษัทลิสซิ่งของธนาคารและบริษัทต่างๆที่ให้กู้เงินเช่าซื้อรถยึดมาจากลูกค้าที่ขาดการส่งงวดเงินผ่อนและอีกส่วนยึดมาจากการจำนองรถที่ขาดการชำระหนี้โดยส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ป้ายทะเบียนในพื้นที่ภาคใต้และต่างจังหวัดเป็นบางส่วน

ทั้งนี้ การประมูลเริ่มตั้งแต่เวลา 14.00 น.จนกระทั่งถึง 19.00 น.การประมูลยังไม่แล้วเสร็จ โดยเบื้องต้นมีผู้เข้าแข่งขัน ประมูลเป็นจำนวนมากมาจากพ่อค้าเต้นท์รถและอู่ซ่อมรถเพื่อนำไปปรับปรุงสภาพขายต่อ หลังจากนั้นได้มีการทยอยนำรถที่ถูกประมูลได้ออก

พ่อค้าประมูลรถคนหนึ่งจาก จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า รถยนต์ที่ไฟแนนซ์ยึดมาส่วนใหญ่เป็นของเกษตรกรชาวสวนยาง และสวนปาล์มที่รับภาระผ่อนส่งต่อไม่ไหวต้องปล่อยให้เจ้าหนี้ยึดไป ซึ่งยอมรับว่าระยะหลังรถยึดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากราคายางตกลดลงไปมากและในเดือนนี้มีการเปิดประมูลรถยนต์ไปแล้วถึง 2 รอบ


“ขณะนี้เศรษฐกิจกระทบเป็นลูกโซ่ ใช่ว่าเต้นท์รถยนต์มือสองซื้อไปแล้วจะขายได้ง่ายจะเลือกเอาที่สภาพราคาไม่สูงและจะขายได้จริงๆ ที่ผ่านมาเต้นท์รถหลายแห่งก็ต้องปิดตัวเองอยู่ไม่ได้อยู่ในภาวะเงินฟืดเช่นกัน ” พ่อค้าคนเดียวกัน กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า การประมูลซื้อขายยางพาราวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ตลาดกลางทั้ง 3 แห่งในภาคใต้ ปรากฎว่า ราคาขยับขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ย ก.ก.ละ 0.25 สตางค์ โดยที่ตลาดยางสุราษฎร์ธานี ยางแผ่นดิบได้ราคา 53.49 บาท มียางขาย 58,000 ก.ก. ราคาท้องถิ่น 51.50 บาท น้ำยางสด 49.35 บาท เศษยาง 22.50 บาท ที่ตลาดหาดใหญ่ จ.สงขลา ยางแผ่นดิบราคา 52.82 บาท และตลาดนครศรีธรรมราช 52.62 บาท