วันอาทิตย์, มิถุนายน 22, 2557

ท่านทูต "เมกา" ว่าไง เขาว่า อเมริกา "อั๊กลี่" ไม่เคยเปลี่ยน "จุ้น" ที่ไหน "ย่อยยับ" ที่นั่น


.. ท่าทีรุนแรงของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศไทย โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงและสภาพความเป็นจริงแต่อย่างใด หากแต่รีบด่วนตัดเงินช่วยเหลือทางการทหาร ยุติซ้อมรบร่วม ให้เลือกตั้งทันที แสดงให้เห็นชัดว่าสหรัฐอเมริกาถือหางฝ่ายไหน ทั้งที่ความขัดแย้งในเมืองไทยของประชาชนสองฝ่ายนั้น ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างฝ่ายนิยมเผด็จการกับประชาธิปไตย

แต่เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งต้องการประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์เป็นประมุข ต้องการรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล มีจริยธรรม ต้องการความยั่งยืน

กับอีกฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี ต้องการผู้นำที่ละโมบ คอร์รัปชั่น เน้นวัตถุนิยมเฉพาะหน้ามากกว่าความยั่งยืน

ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐหนุนพวกที่อยากมีประธานาธิบดี เพราะคนของพวกนี้อวยผลประโยชน์ให้สหรัฐตามที่ต้องการ

อีกทั้งไม่ใช่การต่อสู้ของฝ่ายที่เอากับไม่เอาเลือกตั้ง ทั้งสองฝ่ายต้องการเลือกตั้ง เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งอยากให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ส่วนอีกฝ่ายอยากให้เลือกตั้งก่อนปฏิรูป..
....
อเมริกา "อั๊กลี่" ไม่เคยเปลี่ยน "จุ้น" ที่ไหน "ย่อยยับ" ที่นั่น
โดย นงนุช สิงหเดชะ
ที่มา มติชนออนไลน์

บทความพิเศษ
ปฏิกิริยาเกินเหตุของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อประเทศไทย หลังจากมีการรัฐประหารเพื่อยุติการขัดแย้งเข่นฆ่ากัน เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่า อเมริกายัง "อั๊กลี่" น่ารังเกียจ เห็นแก่ตัว และโง่งมในวิธีคิดไม่เคยเปลี่ยน แม้ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนไปมากแล้วก็ตาม

เปลี่ยนไปชนิดที่ว่าดุลอำนาจของโลกไม่ได้ถูกผูกขาดโดยอเมริกาพอที่จะทำให้อเมริกาทำตัวเป็นตำรวจโลก ชี้นิ้วจุ้นจ้านได้อีกต่อไป

หากแต่มีจีนผงาดขึ้นมาในแง่มหาอำนาจเศรษฐกิจ อีกเพียง 4-5 ปี จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 1 ของโลกแทนสหรัฐอเมริกา หลังจากปีที่แล้ว (2556) มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนมีมูลค่าแซงอเมริกาขึ้นเป็นที่ 1 ของโลก ครั้งแรก

ท่าทีรุนแรงของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศไทย โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงและสภาพความเป็นจริงแต่อย่างใด หากแต่รีบด่วนตัดเงินช่วยเหลือทางการทหาร ยุติซ้อมรบร่วม ให้เลือกตั้งทันที แสดงให้เห็นชัดว่าสหรัฐอเมริกาถือหางฝ่ายไหน ทั้งที่ความขัดแย้งในเมืองไทยของประชาชนสองฝ่ายนั้น ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างฝ่ายนิยมเผด็จการกับประชาธิปไตย

แต่เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งต้องการประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์เป็นประมุข ต้องการรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล มีจริยธรรม ต้องการความยั่งยืน

กับอีกฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี ต้องการผู้นำที่ละโมบ คอร์รัปชั่น เน้นวัตถุนิยมเฉพาะหน้ามากกว่าความยั่งยืน

ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐหนุนพวกที่อยากมีประธานาธิบดี เพราะคนของพวกนี้อวยผลประโยชน์ให้สหรัฐตามที่ต้องการ

อีกทั้งไม่ใช่การต่อสู้ของฝ่ายที่เอากับไม่เอาเลือกตั้ง ทั้งสองฝ่ายต้องการเลือกตั้ง เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งอยากให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ส่วนอีกฝ่ายอยากให้เลือกตั้งก่อนปฏิรูป

ความสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ของฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์เป็นประมุขนั้น สหรัฐรู้ข้อมูลเป็นอย่างดีว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด เพราะระดับสหรัฐที่มีสปายอยู่ทั่วโลก มีอุปกรณ์จารกรรมไฮเทคสอดแนมอยู่ทุกทั่วอณูในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

จะเห็นว่านับแต่มีการประท้วงทางการเมืองในไทยมาตลอด 6 เดือน ของกลุ่ม กปปส. สหรัฐจึงแทบไม่เคยประณามผู้ใช้อาวุธและความรุนแรงเข่นฆ่าฝ่าย กปปส. เลย อันเท่ากับว่าสหรัฐสนับสนุนให้ฝ่ายที่ตนถือหางใช้อาวุธและความรุนแรงต่ออีกฝ่าย

ซึ่งแสดงว่าอะไรก็ตามที่ตอบสนองผลประโยชน์สหรัฐแล้ว คำว่ามนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน จะหายไปจากพจนานุกรมของสหรัฐทันที

แต่สหรัฐเป็นเดือดเป็นร้อนจะเป็นจะตายทันทีที่คณะ คสช. เรียกให้บุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีส่วนต่อความไม่สงบหรือความขัดแย้งไปรายงานตัว ทั้งที่การควบคุมตัวหรือการเรียกไปรายงานตัวก็ทำอย่างโปร่งใส ไม่มีการซ้อมหรือทรมาน หรือบางคนถูกเชิญตัวไปก็เพียงเพื่อปรับความเข้าใจ ขอความร่วมมือเท่านั้น ไม่ได้ถูกกักตัวข้ามวันเลยก็มี

แถมการรัฐประหารครั้งนี้ก็ไม่มีการฆ่าใครสักราย

การรัฐประหารจะเป็นเรื่องชอบธรรม ต่อเมื่อมันเป็นประโยชน์ต่ออเมริกา เช่น กรณีอียิปต์ ที่มีการรัฐประหารยึดอำนาจจาก นายโมฮัมหมัด มอร์ซี ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์คนแรก มีผู้เสียชีวิตหลายร้อย

แต่อเมริกามีน้ำเสียงอ่อนเบามาก นอกจากไม่ตำหนิคณะรัฐประหารของอียิปต์แล้วยังแก้ต่างให้กองทัพด้วยว่ากำลังทำหน้าที่ฟื้นฟูประชาธิปไตย ขณะที่คณะ คสช. ของไทยก็มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันกับอียิปต์ แต่ท่าทีของสหรัฐต่อไทยแตกต่างจากอียิปต์ชนิดหน้ามือหลังเท้า

เหตุก็เพราะอียิปต์เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในกลุ่มอาหรับที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับสหรัฐ เป็นตัวเชื่อมในการเจรจากับอิสราเอล (มหามิตรของอเมริกา) เพื่อแก้ปัญหาตะวันออกกลาง

ดังนั้น จะเห็นว่าสหรัฐไม่ได้มีมาตรฐานอะไรเลย เรื่องประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธิมนุษยชน และแม้กระทั่งมนุษยธรรม

ความเท่าเทียมแบบสหรัฐ ที่ว่า "ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน" ตามคำประกาศอิสรภาพอเมริกา เขียนโดย โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐ ก็ยังเป็นแค่ทฤษฎี เพราะจนถึงทุกวันนี้อเมริกันบางคนก็ยังเขียนล้อเลียนประเทศของตัวเองด้วยการ์ตูนที่เป็นรูปเด็กแรกคลอด แล้วก็เขียนใต้ภาพว่า "ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน แต่หลังจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน"

อันมีความหมายว่าเมื่อโตขึ้น ไม่มีอะไรมารับประกันว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี มีงานทำ ไม่อดมื้อกินมื้อ ได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม

เสรีภาพแบบสหรัฐที่คนไทยจำนวนไม่น้อยบูชานั้น เนื้อในแล้วมันคือยาพิษ ที่ทำให้อเมริกาแก้ปัญหาสังคมไม่ได้ เหตุการณ์คนคนเดียวกราดยิงคนอื่นจนเสียชีวิตคราวละนับสิบซึ่งเกิดขึ้นถี่ยิบ (เพราะปืนหาซื้อได้ง่ายและครอบครองง่ายยิ่งกว่าขนมในร้านสะดวกซื้อ โดยมีนักการเมืองหนุนหลังพ่อค้าปืน) สาเหตุหนึ่งก็มาจากการให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลแบบล้นเกินมากกว่าสวัสดิภาพของส่วนรวม

จึงกลายเป็นการมอบเสรีภาพให้กับปัจเจกบุคคลเพื่อนำไปฆ่าทำลายล้างคนหมู่มาก

นั่นคือราคามหาศาลที่ต้องจ่ายสำหรับเสรีภาพแบบอเมริกา

เสรีภาพแบบอเมริกา ไม่ต่างอะไรจากความไร้ระเบียบ ขาดการควบคุมตัวเอง ซึ่งล้วนเป็นเหตุนำไปสู่การเป็นชาติวัตถุนิยม เน้นการบริโภคแบบตามใจตัวเองสุดขั้วไม่บันยะบันยัง ผลก็คืออเมริกาเป็นชาติที่ผลาญและทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด แต่ไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตเพื่อลดปัญหาโลกร้อน

อเมริกามีประชากรเพียง 300 กว่าล้านคน แต่บริโภคพลังงาน (เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซ) เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานที่คนทั้งโลก 6,000 กว่าล้านคนบริโภครวมกัน

ประชาธิปไตยแบบอเมริกา จึงไม่ได้ดีหรือโดดเด่นไปกว่าการปกครองระบอบสังคมนิยมของจีนหรือบางประเทศเท่าใดนัก หนำซ้ำที่เห็นชัดคือระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มักคิดกันว่าต้องอยู่เป็นคู่แฝดของประชาธิปไตยนั้น เอาเข้าจริงจีนได้ลบล้างความเชื่อนี้ไปหมดสิ้น เมื่อเศรษฐกิจของจีนภายใต้ระบอบสังคมนิยมโดดเด่นกว่าอเมริกาอย่างชัดเจน

ทัศนคติแบบที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าชนชาติอื่นในโลก หยิ่งยโส ไม่เคารพหรือเรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอื่น คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สหรัฐล้มเหลว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ

รถยนต์อเมริกันเจ๊งยับ ถูกญี่ปุ่นไล่ถลุง โทรศัพท์มือถืออเมริกันถูกเกาหลีใต้ขายแซงหน้าขึ้นอันดับ 1 ทิ้งห่างแบบครึ่งต่อครึ่ง เหตุก็เพราะชาติเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ มีรากฐานความคิดมาจากคำสอนขงจื๊อ คือ นอบน้อม เคารพและรับฟังผู้อื่น

คําว่าอั๊กลี่ อเมริกัน ยังใช้ได้ดีกับอเมริกา เพราะพฤติกรรมของประเทศนี้ที่มีต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว กับตอนนี้ยังคงเดิม คือไร้ความจริงใจ เวลาอยากให้ใครช่วย (เช่น อยากให้ไทยช่วย) ก็ยกยอว่าเป็นมิตรเก่าแก่ เป็นมิตรร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่พอไม่ได้อย่างใจ อย่างในตอนนี้ ก็ไม่ให้เกียรติเลย

สงสัยถึงเวลาตอบโต้ ด้วยการแอนตี้สินค้าอเมริกันอีกคราวกระมัง (ตีเข้ากลางหัวใจทุนนิยม) และซ้ำด้วยการให้วงคาราวาน ร้องเพลง "อเมริกันอันตราย" อีกรอบ ซึ่งเป็นเพลงที่พูดถึงการขับไล่อเมริกา จักรวรรดิที่รุกรานชาติอื่นจนย่อยยับ

แม้ในยุคนี้ ชาติที่ย่อยยับเพราะอเมริกาไปแทรกแซง ก็ยังมีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นอิรักหรืออัฟกานิสถาน ที่ประเทศเหล่านี้ไม่เคยสงบสุขอีกเลย

กองทัพไทยเองควรจะตอบโต้อะไรสักอย่างต่อสหรัฐและออสเตรเลียด้วย ที่ทำเกินกว่าเหตุกับไทย ไม่อย่างนั้นจะได้ใจ ถ้าเคยให้สองประเทศนี้ยืมแฟซิลิตี้ทางทหาร เช่น ท่าจอดเรือ สนามบิน ก็ขอให้ย้ายเรือ-เครื่องบิน ออกไปชั่วคราวก่อน

(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 มิถุนายน 2557)